นายวิชัย ปราสาททอง
เมื่อปลายปี 2532 ปรากฏข่าวทางหน้าหนังสือพิมพ์ว่ามีประชาชนได้รับอันตรายจากการบริโภคแมลงชนิดหนึ่ง คือ ด้วงน้ำมัน ครั้งแรกเกิดที่อำเภอเถิน จังหวัดลำปาง ชาวบ้านนำด้วงน้ำมัน ( ด้วงก้นกระดก ) มาคั่วเกลือรับประทานแกล้มเหล้า 7-8 ตัว แล้วเสียชีวิต ครั้งหลังเกิดที่อำเภอนาเชือก จังหวัดมหาสารคาม เด็ก 2 คนนำด้วงน้ำมันที่จับได้จากต้นแคมาเผารับประทาน เด็กที่รับประทาน 3 ตัว เสียชีวิต ส่วนเด็กที่รับประทาน 2 ตัว มีอาการสาหัส ทั้งสองครั้งมีอาการพิษเหมือนกันคือ หลังจากรับประทาน 1-2 ชั่วโมง มาการปวดท้องอย่างรุนแรง อาเจียนมีเลือดปนออกมา อุจจาระและปัสสาวะปนเลือด ความดันต่ำ หมดสติและเสียชีวิต
[caption id="" align="alignright" width="312"] ด้วงก้นกระดก[/caption]
ด้วงน้ำมันเป็นแมลงปีกแข็ง พบในประเทศไทย 4 สกุล 13 ชนิด ได้แก่ Epicauta, Mylabris, Cissites และ Eletica ชนิดที่เกิดเหตุที่จังหวัดลำปาง และจังหวัดมหาสารคาม มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Mylabris phalerata Pall. และมีชื่อตามท้องถิ่นว่า ด้วงไฟถั่ว เต่าบ้า แมงไฟเดือนห้า ด้วงก้นกระดก แมลงส้มดำ มีลำตัวยาวประมาณ 2.7 เซนติเมตร กว้างประมาณ 1.0 เซนติเมตร ลำตัวและหนวดมีสีดำ พื้นปีกสีดำมีแถบสีส้มหรือสีเหลืองคาดตามขวางของลำตัว 3 แถบ (ดังรูป) ตัวเต็มวัยจะหากินอยู่บนพืชตระกูลถั่วหรือต้นฝ้าย กระเจี๊ยบแดง ปอแก้ว และไม้ดอกต่างๆ เมื่อแมลงชนิดนี้ถูกรบกวนหรือถูกต้องตัวจะขับของเหลวสีเหลืองอ่อนออกจากข้อต่อของส่วนขา หากถูกผิวหนังจะเป็นตุ่มพุพองอักเสบ และหากรับประทานอาจเสียชีวิตได้ เนื่องจากในของเหลวที่ขับออกมามีสารแคนทาริดิน (cantharidin) ด้วงน้ำมัน 1 ตัวมีแคนทาริดิน ประมาณร้อยละ 1.4 หรือ 7 มิลลิกรัม สารชนิดนี้นอกจากจะพบในด้วงน้ำมันชนิดนี้แล้วยังพบในแมลงชนิดอื่นๆ ได้อีกแต่มีปริมาณแคนทาริดินแตกต่างกันไป
แคนทาริดิน
แคนทาริดิน เป็นสารอินทรีย์ประเภท furan ในสภาพที่บริสุทธิ์เป็นผลึกแวววาวระเหิดที่อุณหภูมิประมาณ 120 องศาเซลเซียส มีจุดหลอมเหลวระหว่าง 216-218 องศาเซลเซียส ละลายน้ำได้น้อย ละลายได้ดีในตัวทำละลายอินทรีย์ สามารถดูดซึมได้ทางผิวหนังและเยื่อเมือกในร่างกายเมื่อเข้าสู่ร่างกายจะไม่ถูกเปลี่ยนเป็นสารอื่น และจะเกิดอาการพิษ ซึ่งความรุนแรงของอาการขึ้นอยู่กับปริมาณที่ได้รับอาการพิษจากการได้รับแคนทาริดิน
การรักษาผู้ที่ได้รับอันตรายจากการบริโภคแคนทาริดิน
ที่มา : หนังสือความรู้สิ่งเป็นพิษ ตอนที่9 กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข หน้าที่ 20-24.
เอกสารอ้างอิง
บทความคัดลอกจาก : ศูนย์ข้อมูลพิษวิทยา